อักษรธรรมล้านนา อักษราจารพุทธธรรม
เรื่อง : Tipitaka (DTP)
จากวารสารอยู่ในบุญฉบับเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๙

ย้อนไปนานนับพันปี บริเวณภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยในปัจจุบันเป็นที่ตั้งของอาณาจักรล้านนา มีพื้นที่ครอบคลุมหลายจังหวัด อาทิ เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง แม่ฮ่องสอน แพร่ น่าน ตลอดจนเขตสิบสองปันนาของจีนและบางส่วนของพม่าและลาว ผู้คนในถิ่นนี้มีภาษาพูดและภาษาเขียนเป็นของตนเอง อักษรที่นิยมใช้เขียนวรรณคดีทางโลก คือ อักษรฝักขาม ส่วนอักษรที่นิยมใช้บันทึกหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา คือ อักษรธรรม จึงเรียกอักษรธรรมที่ใช้ในอาณาจักรล้านนาว่า “อักษรธรรมล้านนา”
สมัยพระเจ้าติโลกราช พระมหากษัตริย์ล้านนาแห่งราชวงศ์มังรายพระองค์ที่ ๙ ถือเป็นยุคทองของภาษาและวรรณกรรมล้านนาทั้งยังเป็นยุคที่พระพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรือง เนื่องด้วยพระองค์ทรงส่งเสริมการศึกษาภาษาบาลีและทรงสนับสนุนให้พระภิกษุ-สามเณรปฏิบัติตามหลักพระวินัยอย่างเคร่งครัดจึงทำให้คณะสงฆ์มีความเชี่ยวชาญและแตกฉานในพระไตรปิฎก จนสามารถจัดสังคายนาพระไตรปิฎกขึ้นเป็นครั้งแรกบนแผ่นดินไทยในปี พ.ศ. ๒๐๒๐ ณ วัดโพธารามมหาวิหาร (วัดเจ็ดยอด) แล้วใช้อักษรธรรมล้านนาจารึกพระไตรปิฎกบาลีลงในคัมภีร์ใบลาน และได้แจกจ่ายเผยแผ่ไปยังเมืองต่าง ๆ เช่น เมืองสิบสองปันนา เมืองหลวงพระบาง และหัวเมืองต่าง ๆ ของอาณาจักรล้านนา ถือเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญของพระพุทธศาสนาในล้านนาสืบต่อมาอีกหลายยุคสมัย

พยัญชนะตัวเต็ม ๓๓ ตัว จัดแบ่งวรรค ตามการแบ่งพยัญชนะในภาษาบาลี

การเขียนภาษาบาลีด้วยอักษรธรรม
ในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น พระมหาเถระผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้างและรวบรวมคัมภีร์ใบลานอักษรธรรมล้านนา ผู้เป็นที่เคารพรักและนับถือของสาธุชนตลอดจนเจ้าผู้ครองนคร คือครูบากัญจนอรัญญวาสีมหาเถรหรือครูบามหาเถร ผู้แตกฉานในอรรถบาลีและพระธรรมวินัยเป็นอย่างยิ่ง ท่านมีพื้นเพเดิมอยู่ที่เมืองแพร่ (จังหวัดแพร่ในปัจจุบัน) ได้บรรพชาเป็นสามเณรศึกษาอักขระล้านนาตั้งแต่เยาว์วัย ณ วัดสูงเม่น จังหวัดแพร่ เมื่อครบบวชจึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ได้รับฉายาว่า “กัญจนภิกขุ” ด้วยความสนใจในวิปัสสนากัมมัฏฐาน ท่านจึงเดินทางไปเมืองเชียงใหม่เพื่อศึกษาด้านวิปัสสนาธุระเพิ่มเติมและเนื่องจากท่านเป็นพระภิกษุผู้เปี่ยมไปด้วยความสามารถและสร้างคุณประโยชน์ให้แก่พระพุทธศาสนามากมาย ท่านจึงได้รับการสนับสนุนให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระสิงห์เมืองเชียงใหม่ในเวลาต่อมา

ในปี พ.ศ. ๒๓๖๙ (จ.ศ. ๑๑๘๘) เจ้าหลวงแผ่นดินเย็นพุทธวงศ์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ มีพระราชศรัทธาจะประดิษฐานพระพุทธศาสนาให้จีรังยั่งยืนในแว่นแคว้น ทรงปรารถนาจะเจริญรอยตามพระพุทธโฆษาจารย์ พระภิกษุชาวอินเดีย ที่เดินทางไปรวบรวมคัมภีร์ใบลานพระไตรปิฎกที่เกาะลังกา เพื่อนำคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้กลับมาเจริญรุ่งเรืองในดินแดนชมพูทวีปอีกครั้ง จึงทรงเป็นประธานฝ่ายคฤหัสถ์สนับสนุนครูบากัญจน-อรัญญวาสี พระมหาราชครู และพระมหาเถระผู้ทรงคุณวุฒิแห่งเมืองเชียงใหม่ ให้ร่วมกันตรวจสอบและรวบรวมคัมภีร์พระไตรปิฎกโดยเฉพาะคัมภีร์พระวินัยและอรรถกถาที่ยังขาดตกบกพร่อง แล้วเขียนเป็นหมวดหมู่ขึ้น เมื่อแล้วเสร็จได้ทำการฉลองธรรมที่วัดพระสิงห์ต่อเนื่องกัน ๗ วัน ๗ คืน

วัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่
หลังจากที่ครูบากัญจนอรัญญวาสีได้รวบรวมคัมภีร์ในเมืองเชียงใหม่ ท่านได้รับอาราธนาจากเจ้าหลวงอินทรวิชัยราชา เจ้าผู้ครองเมืองแพร่ ให้อัญเชิญคัมภีร์อักษรธรรมจากเชียงใหม่มาประดิษฐาน ณ วัดสูงเม่น เมืองแพร่ ตลอดเส้นทางจากเมืองเชียงใหม่สู่เมืองแพร่ เจ้าผู้ครองนครและสาธุชนในเมืองที่ท่านเดินทางผ่านต่างให้การต้อนรับด้วยความเคารพ แสดงให้เห็นว่าเจ้าผู้ครองนครและพุทธศาสนิกชนในสมัยก่อนให้ความเคารพในพระธรรม และให้ความสำคัญต่องานของพระศาสนาเป็นอย่างยิ่ง

ตู้พระธรรมลายรดน้ำ ศิลปะล้านนาประยุกต์ซึ่งเจ้าหลวงเมืองแพร่และพระชายาสร้างถวายวัดสูงเม่น
แม้ครูบากัญจนอรัญญวาสีจะเดินทางกลับมาเมืองแพร่อันเป็นพื้นเพเดิมของท่านแล้วก็ตาม แต่ท่านก็ยังเดินหน้ารวบรวมและสร้างสรรค์คัมภีร์ใบลานต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งท่านเขียนตำรามูลกัมมัฏฐานขึ้นที่เมืองแพร่และออกเดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ ในอาณาจักรล้านนา อาทิ ไปถึงเมืองน่านเพื่อร่วมตรวจชำระคัมภีร์พระไตรปิฎกและคัมภีร์ธรรมที่วัดช้างค้ำ และไปเมืองหลวงพระบางเพื่อสร้างคัมภีร์พระไตรปิฎกที่วัดวิชุนราช โดยมีเจ้าหลวงชื่อมังธาเป็นศาสนูปถัมภก

ห่อผ้าบรรจุคัมภีร์ใบลาน ณ วัดช้างคำ จังหวัดเชียงใหม่
หากศึกษาตัวอย่างคัมภีร์พระไตรปิฎกใบลานที่เก็บรักษาไว้ ณ วัดสูงเม่น ซึ่งปัจจุบันเป็นแหล่งคัมภีร์ใบลานอักษรธรรมล้านนาที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย จะพบข้อมูลที่น่าสนใจเกีย่วกบัการสร้างคัมภีร์ตังแต่ชื่อผู้สร้างปีที่สร้าง จำนวนแผ่นลาน จารจารึกไว้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะข้อมูลของสถานที่ที่จารคัมภีร์ฉบับนั้น ๆ ถือเป็นข้อมูลที่สำคัญในการศึกษาภาษาบาลี ประวัติศาสตร์ และพระพุทธศาสนาในแผ่นดินไทย


ใบลานพระไตรปิฎกบาลีสีลขันธวรรค ทีฆนิกาย อักษรธรรมล้านนา จากวัดสูงเม่น จาร เมื่อจุลศักราช ๑๑๙๘ (พ.ศ. ๒๓๗๙) สร้างที่เมืองน่าน หนึ่งมัดมี ๑๑ ผูก รวม ๒๘๖ แผ่น ปรากฏชื่อผู้จาร ปีที่จาร ลานหน้าสุดท้ายของผูกแรกจารข้อความว่า ข้าน้อยแสนไชยลาบ จารคัมภีร์ผูกนี้เสร็จในเดือน ๙ ปีรวายสัน (ปีตามปฏิทินล้านนา) จุลศักราช ๑๑๙๘ พร้อมระบุคำอธิษฐานจิตขอให้เหตุแห่งการสร้างคัมภีร์ฉบับนี้ (ผลบุญที่ทำ) เป็นปัจจัยส่งให้ถึงพระนิพพาน

แผ่นลานจารพระไตรปิฎกบาลีสีลขันธวรรค ทีฆนิกาย อักษรธรรมล้านนา จากวัดสูงเม่น จารเมื่อจุลศักราช ๑๑๙๘ (พ.ศ. ๒๓๗๙) สร้างที่เมืองแพร่ หนึ่งมัดมี ๑๓ ผูก รวม ๓๕๘ แผ่น หน้าสุดท้ายของผูกแรกจารข้อความว่า คัมภีร์ฉบับนี้สร้างโดยพระมหาเถรเจ้ากัญจนอรัญญวาสี และสานุศิษย์แห่งเมืองแพร่ โดยราชวงศ์แห่งเมืองหลวงพระบางมีศรัทธาพร้อมกันสร้างขึ้น


เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่ว่าครูบากัญจนอรัญญวาสมี หาเถรเดนิทางไป ณ ที่แห่งใด ท่านจะมีส่วนสำคัญในการตรวจชำระและสร้างคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา รวมไปถึงศาสนสถานสำคัญ ณ ที่แห่งนั้นให้เจริญรุ่งเรือง ในขณะเดียวกันก็ได้อัญเชิญคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาที่สร้างขึ้นจากดินแดนต่าง ๆ ในล้านนากลับมาประดิษฐานรวบรวมไว้ ณ หอไตร วัดสูงเม่นจังหวัดแพร่ จำนวนหลายพันมัด ทำให้การศึกษาพระพุทธศาสนาขยายออกไปในวงกว้างนับเป็นภารกิจที่ต้องอาศัยความวิริยอุตสาหะอย่างยิ่งยวด อีกทั้งต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจของสาธุชน ผู้ปกครองบ้านเมือง และคณะสงฆ์ในแต่ละท้องถิ่นให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง จึงทำให้ผลงานอันล้ำค่า คือ คัมภีร์ใบลานตกทอดมาถึงชาวพุทธในปัจจุบัน ดังนั้นจึงถือเป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคนที่ต้องช่วยกันสานต่อมโนปณิธานในอันที่จะดูแลปกป้องคำสอนของพระพุทธเจ้าให้คงอยู่คู่แผ่นดินไทยเฉกเช่นเดียวกับบรรพบุรุษไทยในกาลก่อนที่ทุ่มเทกายและใจรักษาไว้อย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
อักษรธรรมล้านนา (ตั๋วเมือง)
อักษรธรรมล้านนา หรือ ตัวเมือง พัฒนามาจากอักษรมอญโบราณ เช่นเดียวกับอักษรพม่า
อักษรชนิดนี้ใช้ในอาณาจักรล้านนาเมื่อราว พ.ศ. 1802 จนกระทั่งถูกพม่ายึดครองใน พ.ศ. 2101 ปัจจุบันใช้ในงานทางศาสนา พบได้ทั่วไปในวัดทางภาคเหนือของประเทศไทย (ส่วนที่เป็นเขตอาณาจักรล้านนาเดิมและเขตที่ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมล้านนาบางแห่ง) นอกจากนี้ยังแพร่หลายถึงไปถึงเขตรัฐไทยใหญ่ แถบเมืองเชียงตุง ซึ่งอักษรที่ใช้ในแถบนั้นจะเรียกชื่อว่า "อักษรไตเขิน" มีลักษณะที่เรียบง่ายกว่า ตัวเมืองที่ใช้ในแถบล้านนา[ต้องการอ้างอิง]
อนึ่ง อักษรธรรมล้านนายังได้แพร่หลายเข้าไปยังอาณาจักรล้านช้างเดิม
ผ่านความสัมพันธ์ทางการทูตและทางศาสนาระหว่างล้านนากับล้านช้างในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 21 ร่วมสมัยกับพระเจ้าโพธิสารราชและพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชแห่งล้านช้าง เป็นต้นเค้าของการวิวัฒนาการ ของแบบอักษรที่เรียกว่าอักษรธรรมลาว(หรือที่เรียกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยว่า "อักษรธรรมอีสาน") ในเวลาต่อมา
อักษรธรรมล้านนาจัดตามกลุ่มพยัญชนะวรรคตามพยัญชนะภาษาบาลี แบ่งออกเป็น 5 วรรค
วรรคละ 5 ตัว เรียกว่า“พยัญชนะวรรค”หรือ“พยัญชนะในวรรค”อีก 8 ตัวไม่จัดอยู่ในวรรค เรียกว่า“พยัญชนะอวรรค”หรือ“พยัญชนะนอกวรรค”หรือ“พยัญชนะเศษวรรค” ส่วนการอ่านออกเสียง เรียกพยัญชนะทั้ง หมดนั้น จะเรียกว่า“ตั๋ว”เช่น ตั๋ว กะ/ก/ ตั๋ว ขะ/ข/ ตั๋ว จะ/จ/ เป็นต้น
พยัญชนะปกติ
อักษรไทยที่ปรากฏเป็นการถ่ายอักษรเท่านั้น เสียงจริงของอักษรแสดงไว้ในสัทอักษรสากล ซึ่งอาจจะออกเสียง
ต่างไปจากอักษรไทย
พยัญชนะซ้อน (ตัวซ้อน) เป็นพยัญชนะที่ใส่ไว้ใต้พยัญชนะตัวอื่นเพื่อทำหน้าที่อย่างใด
อย่างหนึ่งดังนี้
คือ
1. เพื่อห้ามไม่ให้พยัญชนะที่ไปซ้อน (ตัวข่ม) ออกเสียงสระอะ หรือ
2. เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวสะกด ซึ่งพยัญชนะที่ล้านนารับมาจากภาษาอื่นตั้งแต่แรกจะมีรูปพยัญชนะ
ขึ้นมาเอง ดังนั้นจึงไม่มีรูปพยัญชนะซ้อน แต่อย่างไรก็ตามเพื่อให้สามารถเขียนคำที่มาจากภาษาต่า
พยัญชนะพิเศษ
สระ
สระจมเป็นสระที่ไม่สามารถออกเสียงได้ด้วยตัวเอง ต้องนำไปผสมกับพยัญชนะก่อนจึงจะสามารถออก
เสียงได้
![]()
เป็นสระที่มาจากภาษาบาลี สามารถออกเสียงได้ด้วยตัวเองไม่จำเป็นต้องนำไปผสมกับพยัญชนะก่อน
แต่บางครั้งก็มีการนำไปผสมกับพยัญชนะหรือสระแท้ เช่น คำว่า "เอา" สามารถเขียนได้โดยเขียนสระ
วรรณยุกต์
เนื่องจากล้านนาได้นำเอาระบบอักขรวิธีของมอญมาใช้โดยแทบจะไม่มีการปรับเปลี่ยนเลย และภาษา
มอญเองก็เป็นภาษาที่ไม่มีวรรณยุกต์ ดังนั้นในอดีตจึงไม่ปรากฏว่ามีการใช้เครื่องหมายวรรณยุกต์ในการ
เขียนอักษรธรรมล้านนาเลย (เคยมีการถกเถียงกันเรื่องชื่อของล้านนาว่าจริงๆแล้วชื่อ "ล้านนา" หรือ "
ลานนา" กันแน่ แต่ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่า "ล้านนา") จนกระทั่งในระยะหลังเมื่ออิทธิพลของสยามแผ่
เข้าไปในล้านนาจึงปรากฏการใช้รูปวรรณยุกต์ในการเขียนอักษรธรรมล้านนา ภาษาล้านนาสามารถผัน
ได้ 6 เสียง (จริงๆแล้วมีทั้งหมด 7 หรือ 8 เสียง แต่ในแต่ละท้องถิ่นจะใช้เพียง 6 เสียงเท่านั้น) การผัน
จะใช้การจับคู่กันระหว่างอักษรสูงกับอักษรต่ำจึงทำให้ต้องใช้วรรณยุกต์เพียง 2 รูปเท่านั้น คือ เอก กับ
โท (เทียบภาษาไทยกลาง) เช่น
การที่มีรูปวรรณยุกต์เพียง 2 รูปนี้ทำให้เกิดปัญหากับอักษรกลาง คือ ไม่สามารถแทนเสียงได้ครบ
ทั้ง 6เสียง ดังนั้นจึงอาจอนุโลมให้แต่ละรูปศัพท์แทนการออกเสียงได้ 2 เสียง
เสียงวรรณยุกต์สำเนียงเชียงใหม่มี 6 เสียง คือ เสียงจัตวา, เสียงเอก, เสียงโทพิเศษ, เสียงสามัญ,
เสียงโท, และเสียงตรี
การแสดงเสียงวรรณยุกต์
การแสดงเสียงวรรณยุกต์ของคำเมืองสำเนียงเชียงใหม่
ที่มา อักษรธรรมล้านนา (ตั๋วเมือง) เข้าถึง 28 ส.ค. 60
ที่มา เบื้องต้น1 เข้าถึง 28 ส.ค. 60
ที่มา เบื้องต้น2สระ เข้าถึง 28 ส.ค. 60
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น